บุรีรัมย์- พบข้าวสารในโกดังกลาง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ที่กำลังขนย้ายตามสัญญาซื้อขายให้บริษัทเอกชนเสื่อมสภาพไม่ผ่านเกณฑ์ส่งออกแล้วกว่า 3,000 กระสอบ อ้างเก็บไว้นานกว่า 2 ปี คาดมีข้าวเสื่อมสภาพทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 10,000 กระสอบจากข้าวในสต๊อกกว่า 41,000 กระสอบ ขณะทหารยังคุมเข้มการขนย้ายต่อเนื่อง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (9 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหารจากจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ ร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอนางรอง เจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และตัวแทนบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว หรือเซอร์เวเยอร์ ยังร่วมกันตรวจสอบการขนย้ายข้าวสารชนิด “ปลายข้าวหอมมะลิ (เอวันเลิศ)” ออกจากคลังสินค้า AAAAA นำเข้า ตั้งอยู่เลขที่ 808 ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เพื่อส่งออกต่างประเทศตามสัญญาการซื้อขายที่บริษัทเอกชน (บริษัท เจียเม้ง จำกัด) ได้รับการประมูลอย่างต่อเนื่อง
โดยจากการตรวจสอบคุณภาพข้าวของเซอร์เวเยอร์ก่อนการขนย้ายออกจากโกดัง ล่าสุดพบมีข้าวสารเสื่อมสภาพที่ถูกคัดแยกไว้ เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์การส่งออกแล้วกว่า 3,000 กระสอบ จากที่ได้ทำการตรวจนับเพื่อขนย้ายเพียงกว่า 5,000 กระสอบ ทั้งนี้คาดว่าจะมีข้าวเสื่อมสภาพไม่ต่ำกว่า 10,000 กระสอบ จากที่มีข้าวสารตามบัญชีมีในโกดังกลางดังกล่าว 41,349 กระสอบ โดยเบื้องต้นมีคำสั่งให้ขนย้ายเพื่อส่งออกในล็อตนี้จำนวน 3,000 ตัน หรือ 30,000 กระสอบ
นายสมชาย ลาบฤทธิเดช ตัวแทนเซอร์เวเยอร์ ระบุว่า สาเหตุที่ข้าวสารในโกดังกลางเสื่อมสภาพนั้น อาจเนื่องจากเก็บไว้เป็นเวลานานกว่า 2 ปีแต่ไม่มีการระบายออก สำหรับข้าวที่เสื่อมสภาพนั้นทาง อคส.จะได้ทำบันทึกรายงานให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า จ.บุรีรัมย์มีโกดังกลางจัดเก็บข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลอยู่ทั้งหมด 7 แห่ง ปัจจุบันมีข้าวสารที่จัดเก็บไว้ในโกดังกลางตามบัญชีที่ระบุไว้ รวมทั้งสิ้น 362,962 กระสอบ และ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ชุดที่ 41 ภายใต้ อนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.)
ข่าวจาก ผู้จัดการ Online
วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ช้างป่ารุมทำร้ายชาวบุรีรัมย์ ขณะไปหาของป่าเขต “ป่าดงใหญ่” โนนดินแดง ดับสยอง
บุรีรัมย์ - เกิดเหตุช้างป่าทำร้ายชาวบุรีรัมย์วัย 74 ปี ขณะปั่นจักรยานเข้าไปหาของป่าในเขตพื้นที่ป่า “สงวนฯ ดงใหญ่” เสียชีวิตสยอง ร่างกายแขนขาและคอหักหมุนได้รอบ มีบาดเผลรอยช้ำตามลำตัว ชาวบ้านระบุถูกโขลงช้างกว่า 10 ตัวที่ออกมาหากินชายป่าและพืชไร่ของชาวบ้านประจำ ทำร้ายจนเสียชีวิต
เมื่อเวลา 17.30 น. วันนี้ (7 ก.ค.) ร.ต.ท.ขจรศักดิ์ บูชารัมย์ ร้อยเวร สภ.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านโคกเพชรว่ามีชาวบ้านถูกช้างป่าทำร้ายเสียชีวิตที่บริเวณชายป่าหนองโคกหินตั้ง บ้านโคกเพชร ต.ลำนางรอง ในเขตพื้นที่ป่าดงใหญ่ จึงนำกำลัง พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยฯ รุดไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง
ที่เกิดเหตุเป็นบริเวณข้างถนนทางเข้าไปในป่าโคกหินตั้ง อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ซึ่งห่างจากหมู่บ้านโคกเพชร ต.ลำนางรอง ประมาณ 10 กิโลเมตร พบศพนายประจวบก ศรีสำราญ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 13 ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง นอนเสียชีวิตในสภาพคอ แขน ขา และคอหักหมุนได้รอบ ทั้งยังมีบาดแผลรอยถลอกตามร่างกาย เสื้อผ้ากางเกงถูกฉีกขาดหลุดลุ่ย ใกล้ศพผู้ตายพบรถจักรยานสองล้อของผู้ตายพังยับ ล้อหน้าหลุดออกจากตัวรถ
จากการตรวจสอบพื้นที่เชื่อว่าผู้ตายน่าจะถูกช้างป่ารุมทำร้าย โดยการเหยียบ ทั้งใช้งวงและงาฟาดทิ่มแทงตามร่างกายอย่างรุนแรง ขณะที่นายประจวบกำลังขี่จักรยานมาตามถนนเลียบชายป่าดังกล่าว เพราะบริเวณที่เกิดเหตุได้พบรอยเท้า และมูลช้างป่าเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นสันนิษฐานว่านายประจวบน่าจะเสียชีวิตมานานกว่า 24 ชั่วโมง
ส่วนศพผู้ตายหน่วยกู้ภัย อ.โนนดินแดงได้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่จะให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
จากการสอบสวนนายบุญคือ ฉุนเชื้อ อยู่บ้านเลขที่ 60 ม.13 ต.ลำนางรอง ผู้พบศพนายประจวบคนแรก บอกว่า ขณะเดินทางเข้าไปดักปลาบริเวณคลองน้ำภายในป่าโคกหินตั้ง พบศพผู้ตาย เวลาประมาณเที่ยงวันนี้ (7 ก.ค.) ในสภาพนอนเสียชีวิตอยู่ข้างถนนทางเดินบริเวณชายป่า น่าจะเกิดจากช้างป่าทำร้ายจนเสียชีวิต ที่เคยพบเห็นออกมาหากินอยู่บริเวณดังกล่าว ทั้งออกมาหากินพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความตกใจ และหวาดกลัวโขลงช้างดังกล่าวจึงได้รีบออกมาแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบก่อนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าไปตรวจสอบการเสียชีวิตของนายประจวบ
นางบุญ ขยายดี อายุ 65 ปี ภรรยา นายประจวบ ให้การว่า เมื่อเช้าวันที่ 6 ก.ค. เวลา 08.00 น. สามี นายประจวบได้ปั่นจักรยานออกจากบ้านและบอกว่าจะเข้าไปหาของป่า และเห็ด ซึ่งสามีเคยไปหาเป็นประจำแต่ครั้งนี้หายไปข้ามคืน ทำให้แปลกใจจนต่อมาได้มีชาวบ้านบอกว่าสามีได้ถูกช้างป่าทำร้ายเสียชีวิต พร้อมยอมรับว่าตนและสามีได้เห็นช้างป่าออกมาหากินอยู่บริเวณชายป่าและเดินหากินใกล้หมู่บ้านหลายครั้งแต่ตนก็ไม่เคยไปทำร้ายช้างป่าโขลงดังกล่าว ไม่คิดว่าสามีจะถูกช้างป่าทำร้ายจนเสียชีวิต โดยไม่ติดใจที่จะเอาความจากการเสียชีวิตของสามี
ด้าน นายสมส่วน รักษ์สัตว์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ อ.โนนดินแดง กล่าวว่า พื้นที่เกิดเหตุดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่หากินของช้างป่าและสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะช้างป่าจากการสำรวจล่าสุด พบว่าขณะนี้ได้มีการขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น และจะเดินหากินเป็นโขลงใหญ่ ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่พบมากกว่า 10 ตัว
กรณีดังกล่าวได้ประกาศและประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านตามหมู่บ้านรอบพื้นที่ป่าดงใหญ่ไม่ให้เข้าไปล่าสัตว์ และอย่าทำร้ายช้างที่ออกมาหากินรอบชายป่า หากพบให้ขับไล่หรือแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าไปขับไล่กลับคืนสู่ป่าไป หากใครล่าหรือทำร้ายช้างและสัตว์ป่าก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“เดิมพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่หากินของช้างป่าและสัตว์ แต่ชาวบ้านได้เข้าไปบุกรุก สร้างหมู่บ้านและทำการเกษตร จึงทำให้ช้างออกมาหากินบริเวณพื้นที่นั้นบ่อยครั้งจนเกิดปัญหาช้างทำร้ายคนคนทำร้ายช้างดังกล่าวเรื่อยมา” นายสมส่วนกล่าว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
เมื่อเวลา 17.30 น. วันนี้ (7 ก.ค.) ร.ต.ท.ขจรศักดิ์ บูชารัมย์ ร้อยเวร สภ.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านโคกเพชรว่ามีชาวบ้านถูกช้างป่าทำร้ายเสียชีวิตที่บริเวณชายป่าหนองโคกหินตั้ง บ้านโคกเพชร ต.ลำนางรอง ในเขตพื้นที่ป่าดงใหญ่ จึงนำกำลัง พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยฯ รุดไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง
ที่เกิดเหตุเป็นบริเวณข้างถนนทางเข้าไปในป่าโคกหินตั้ง อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ซึ่งห่างจากหมู่บ้านโคกเพชร ต.ลำนางรอง ประมาณ 10 กิโลเมตร พบศพนายประจวบก ศรีสำราญ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 13 ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง นอนเสียชีวิตในสภาพคอ แขน ขา และคอหักหมุนได้รอบ ทั้งยังมีบาดแผลรอยถลอกตามร่างกาย เสื้อผ้ากางเกงถูกฉีกขาดหลุดลุ่ย ใกล้ศพผู้ตายพบรถจักรยานสองล้อของผู้ตายพังยับ ล้อหน้าหลุดออกจากตัวรถ
จากการตรวจสอบพื้นที่เชื่อว่าผู้ตายน่าจะถูกช้างป่ารุมทำร้าย โดยการเหยียบ ทั้งใช้งวงและงาฟาดทิ่มแทงตามร่างกายอย่างรุนแรง ขณะที่นายประจวบกำลังขี่จักรยานมาตามถนนเลียบชายป่าดังกล่าว เพราะบริเวณที่เกิดเหตุได้พบรอยเท้า และมูลช้างป่าเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นสันนิษฐานว่านายประจวบน่าจะเสียชีวิตมานานกว่า 24 ชั่วโมง
ส่วนศพผู้ตายหน่วยกู้ภัย อ.โนนดินแดงได้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่จะให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
จากการสอบสวนนายบุญคือ ฉุนเชื้อ อยู่บ้านเลขที่ 60 ม.13 ต.ลำนางรอง ผู้พบศพนายประจวบคนแรก บอกว่า ขณะเดินทางเข้าไปดักปลาบริเวณคลองน้ำภายในป่าโคกหินตั้ง พบศพผู้ตาย เวลาประมาณเที่ยงวันนี้ (7 ก.ค.) ในสภาพนอนเสียชีวิตอยู่ข้างถนนทางเดินบริเวณชายป่า น่าจะเกิดจากช้างป่าทำร้ายจนเสียชีวิต ที่เคยพบเห็นออกมาหากินอยู่บริเวณดังกล่าว ทั้งออกมาหากินพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความตกใจ และหวาดกลัวโขลงช้างดังกล่าวจึงได้รีบออกมาแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบก่อนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าไปตรวจสอบการเสียชีวิตของนายประจวบ
นางบุญ ขยายดี อายุ 65 ปี ภรรยา นายประจวบ ให้การว่า เมื่อเช้าวันที่ 6 ก.ค. เวลา 08.00 น. สามี นายประจวบได้ปั่นจักรยานออกจากบ้านและบอกว่าจะเข้าไปหาของป่า และเห็ด ซึ่งสามีเคยไปหาเป็นประจำแต่ครั้งนี้หายไปข้ามคืน ทำให้แปลกใจจนต่อมาได้มีชาวบ้านบอกว่าสามีได้ถูกช้างป่าทำร้ายเสียชีวิต พร้อมยอมรับว่าตนและสามีได้เห็นช้างป่าออกมาหากินอยู่บริเวณชายป่าและเดินหากินใกล้หมู่บ้านหลายครั้งแต่ตนก็ไม่เคยไปทำร้ายช้างป่าโขลงดังกล่าว ไม่คิดว่าสามีจะถูกช้างป่าทำร้ายจนเสียชีวิต โดยไม่ติดใจที่จะเอาความจากการเสียชีวิตของสามี
ด้าน นายสมส่วน รักษ์สัตว์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ อ.โนนดินแดง กล่าวว่า พื้นที่เกิดเหตุดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่หากินของช้างป่าและสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะช้างป่าจากการสำรวจล่าสุด พบว่าขณะนี้ได้มีการขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น และจะเดินหากินเป็นโขลงใหญ่ ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่พบมากกว่า 10 ตัว
กรณีดังกล่าวได้ประกาศและประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านตามหมู่บ้านรอบพื้นที่ป่าดงใหญ่ไม่ให้เข้าไปล่าสัตว์ และอย่าทำร้ายช้างที่ออกมาหากินรอบชายป่า หากพบให้ขับไล่หรือแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าไปขับไล่กลับคืนสู่ป่าไป หากใครล่าหรือทำร้ายช้างและสัตว์ป่าก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“เดิมพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่หากินของช้างป่าและสัตว์ แต่ชาวบ้านได้เข้าไปบุกรุก สร้างหมู่บ้านและทำการเกษตร จึงทำให้ช้างออกมาหากินบริเวณพื้นที่นั้นบ่อยครั้งจนเกิดปัญหาช้างทำร้ายคนคนทำร้ายช้างดังกล่าวเรื่อยมา” นายสมส่วนกล่าว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ขู่! วางวัตถุคล้ายระเบิดหน้า รพ.นางรอง โยงเหตุหนุนปฏิรูป-ต้านแยกดินแดน
บุรีรัมย์ - เหิมเกริม วางวัตถุคล้ายระเบิดข้างป้อมยามหน้า รพ.นางรอง บุรีรัมย์ ใกล้จุดชุมนุมต้านโกง ไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” และขึ้นป้ายหนุนปฏิรูป ค้านแบ่งแยกเดินแดน รวมทั้งเกิดเหตุปะทะ นปช. กับ กปปส. ขณะตำรวจพร้อมชุดอีโอดีตรวจสอบทำลาย สุดท้ายเป็นกระป๋องกาแฟประกอบขึ้นคล้ายระเบิดแสวงเครื่อง เชื่อข่มขู่สร้างสถานการณ์เชื่อมกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง
วันนี้ (7 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา พ.ต.ท.เทพกระโทก บวชกระโทก รองผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านและยามรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลนางรองว่า พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดใส่ถุงพลาสติกพันด้วยเทปกาว โยงด้วยสายไฟ นำมาวางทิ้งไว้ข้างป้อมยามจราจร ประตูทางเข้า-ออก หน้าโรงพยาบาลนางรอง บนทางหลวงหมายเลข 24 สายโชคชัย-เดชอุดม ใจกลางเมืองนางรอง จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ
จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรืออีโอดี มาทำการตรวจสอบและเก็บกู้ ต่อมา ร.ต.อ.พรหมพิริยะ พันสีเงิน รองสารวัตรสรรพาวุธกองกำลังสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่
โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้นำยางรถยนต์ไปวางครอบวัตถุดังกล่าวไว้ ก่อนประสานไปยังเทศบาลเมืองนางรองเพื่อนำกระสอบทรายมาวางกั้นเพื่อป้องกันรัศมีการทำลายล้างหากเกิดระเบิดขึ้น และได้ทำการปิดกั้นเส้นทางถนนโชคชัย-เดชอุดม ทั้งขาเข้าและขาออกไม่ให้รถสัญจรผ่านไปมา พร้อมกันประชาชนไม่ให้เข้าไปใกล้เพราะเกรงจะได้รับอันตราย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้โยงสายทำลายด้วยแรงดันน้ำเข้ากับวัตถุดังกล่าว ท่ามกลางการลุ้นระทึกของประชาชนที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียง และผู้ที่ขับรถสัญจรผ่านไปมา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำลายวัตถุดังกล่าวแล้วก็เข้าเคลียร์พื้นที่และตรวจสอบวัตถุดังกล่าวอย่างละเอียด พบเป็นเพียงกระป๋องกาแฟต่อด้วยสายไฟ บรรจุถุงพลาสติกแล้วพันด้วยเทปกาวทับอีกรอบให้คล้ายกับระเบิดแสวงเครื่อง แต่ไม่มีวงจรหรือไม่มีสะเก็ดที่จะใช้ในการก่อวินาศกรรมได้
เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนนำวัตถุดังกล่าวมาวางทิ้งไว้ และมีจุดประสงค์อะไร ต้องรอการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ใกล้บริเวณที่พบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวไม่ถึง 100 เมตรเป็นสถานที่ที่กลุ่ม กปปส.นางรอง นัดกันมารวมตัวชุมนุมแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน และขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่เป็นประจำในช่วงวันศุกร์, เสาร์ และวันอาทิตย์ ทุกสัปดาห์ รวมทั้งได้ขึ้นป้าย “หนุนปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง” และ “คนนางรอง คนไทยหัวใจไทย ไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกแผ่นดินไทยเด็ดขาด” ที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลด้วย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมากลุ่ม นปช.บุรีรัมย์ได้เดินรณรงค์ปกป้องประชาธิปไตย ต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร และไม่ยอมรับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนเกิดการกระทบกระทั่งกับกลุ่ม กปปส.ที่บริเวณดังกล่าว จนทำให้กลุ่ม กปปส.ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้ไม่หวังดีนำวัตถุดังกล่าวมาวางไว้เพื่อข่มขู่หรือสร้างสถานการณ์
วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
บุกค้นบ้านตำรวจ อ.นางรอง ยึดไม้หวงห้ามกว่า 500 ท่อน
บุรีรัมย์ 9 มิ.ย.-เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักตำรวจสายสืบ สภ.นางรอง อยู่ห่างจากโรงพักเพียง 1 กม. พบไม้หวงห้ามหลายชนิดซุกซ่อนอยู่ใต้สระน้ำและรอบบ้าน ทั้งไม้ท่อนและไม้แผ่นกว่า 500 ท่อน/แผ่น มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ลอตใหญ่ที่สุดใน จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่มีการจับกุมมา
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (9 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ทหารจากจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ และกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ร.23 พัน 4) ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ บร.1 (ดงใหญ่) ตำรวจ สภ.นางรอง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอนางรอง เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 64 ม.1 บ.แพงพวย ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านพักของ ร.ต.ต.ปรีชา เชิดฉาย ตำรวจสายสืบ สภ.นางรอง หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่ไปลงหาปลาในสระน้ำสาธารณะใกล้กับบ้านหลังดังกล่าวว่าพบไม้ซุกซ่อนอยู่ใต้น้ำเป็นจำนวนมาก คาดว่าน่าจะเป็นไม้หวงห้ามผิดกฎหมาย จึงแจ้งเจ้าหน้าที่
จากการตรวจสอบในสระน้ำพบไม้หวงห้ามหลายชนิด เช่น ไม้พะยูง ไม้ประดู่ ไม้เต็ง และไม้แดง ซุกซ่อนอยู่ใต้สระน้ำดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันนำไม้ขึ้นจากน้ำ นับได้รวม 147 ท่อน สภาพทั้งเก่าและใหม่
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจสอบรอบบริเวณบ้าน พบไม้หวงห้ามทั้งที่แปรรูปแล้วและยังไม่ได้แปรรูปอีกประมาณ 300-400 ท่อน/แผ่น พร้อมแท่นเลื่อย 1 ตัว รวมไม้ที่ตรวจยึดได้มากกว่า 500 ท่อน/แผ่น ซึ่งหากนำไปจำหน่ายจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
สำหรับบ้านพักดังกล่าวอยู่ห่างจาก สภ.นางรอง เพียง 1 กม. และในระหว่างเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบไม่พบ ร.ต.ต.ปรีชา เจ้าของบ้าน มาแสดงตัวหรือให้การกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้เรียกตัว ร.ต.ต.ปรีชา มาสอบปากคำ เพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
ต่อมา นายเสรี ศรีหะไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย พล.ต.เสริมศักดิ์ นิยะโมสถ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ และ พล.ต.ต.ชัยเดช ปานรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เดินทางมาตรวจดูไม้ของกลางที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดนำมาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง พร้อมระบุว่า การจับกุมไม้หวงห้ามครั้งนี้นับเป็นลอตใหญ่ที่สุดในจังหวัดตั้งแต่มีการตรวจจับมา.-สำนักข่าวไทย
บุรีรัมย์ - ภาคเอกชนประสานเสียงต้านแผนแก๊ง ส.ส.“ทาสแม้ว” ผ่าแยก “จ.บุรีรัมย์” ตั้ง “จ.นางรอง” หอการค้าฯ ผวากระทบฉุดศักยภาพเศรษฐกิจ-การค้า-การลงทุน และท่องเที่ยวถดถอยทั้งจังหวัด ชี้ “นางรอง” เป็นอำเภอหน้าด่าน-เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมและพื้นที่เกษตรกรรมหลัก หากแยก 10 อำเภอไปตั้งจังหวัดใหม่ส่งผล “บุรีรัมย์” เป็นง่อยทันที จวกยับเป็นการผลาญงบฯ ประเทศชาติ ขู่หากดื้อดึงระดมม็อบต้านแน่ แฉเบื้องหลัง “เพื่อแม้ว” หวังยึดฐานการเมืองเบ็ดเสร็จพ้นเงื้อมมือ “เนวิน”
วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่จังหวัดบุรีรัมย์มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ บร 0017.1/18165 ลงวันที่ 10 ต.ค. 2555 เรื่อง การพิจารณาจัดตั้งจังหวัดนางรอง ส่งไปถึงนายอำเภอนางรอง, ชำนิ, หนองหงส์, บ้านกรวด, เฉลิมพระเกียรติ, โนนสุวรรณ, ปะคำ, หนองกี่, ละหานทราย และนายอำเภอโนนดินแดง รวม 10 อำเภอ จากทั้งจังหวัด 23 อำเภอ พร้อมแนบหลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัดใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2554 ไปด้วยนั้น
นายวีระเดช ตั้งตรงเวชกิจ ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแยกออกไปตั้งจังหวัดใหม่ เพราะหากมีการจัดตั้งจังหวัดนางรองแยกออกไปจาก จ.บุรีรัมย์ จะทำให้ธุรกิจการค้า การลงทุนลดลงหรือหดหายไปจากบุรีรัมย์ทันที เนื่องจากนางรองเป็นอำเภอหน้าด่านเศรษฐกิจ และเป็นเมืองเส้นทางผ่านเข้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์และเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจภาคเกษตรกรรมของจังหวัดบุรีรัมย์นั้นปัจจุบันอยู่ในโซนอำเภอที่ขอแยกไปตั้งจังหวัดใหม่แทบทั้งสิ้น ทั้งการผลิตอ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าว
“ขณะนี้เศรษฐกิจของจังหวัดบุรีรัมย์กำลังบูม มีการลงทุนเข้ามาในจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการก่อสร้างด้านอสังหาริมทรัพย์ มีร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั้งในและต่างจังหวัดเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น หากมีการตัดอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ออกไป 10 อำเภอ ซึ่งล้วนแต่เป็นอำเภอหน้าด่านด้านเศรษฐกิจก็จะทำให้บุรีรัมย์เหลืออำเภอที่เป็นพื้นที่ด้านเศรษฐกิจเพียง อ.ลำปลายมาศ, สตึก และ อ.ประโคนชัยเท่านั้น หากไม่รวม อ.เมือง ที่เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจการค้าของจังหวัดอยู่แล้ว” นายวีระเดชกล่าว
ด้าน นายวสันต์ เทพนคร ประธานชมรมท่องเที่ยวและผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้มีการแยก 10 อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ออกไปตั้งเป็นจังหวัดนางรอง เพราะจะส่งผลกระทบด้านธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะวนอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ และปราสาทเมืองต่ำ อ.ประโคนชัย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัด ได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดจากการจับจ่ายซื้อสินค้าของฝาก ของที่ระลึก และใช้บริการตามแหล่งบริการ สถานบันเทิง ร้านอาหาร และที่พักโรงแรม รีสอร์ตต่างๆ
“ไม่สมควรตั้งจังหวัดนางรองเพราะจะทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณโดยไร้ประโยชน์ เป็นการเอาเงินภาษีของประชาชนมาทำปู้ยี่ปู้ยำ ไหนจะต้องมีการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ เพิ่มขึ้นในเมื่อก็มีอยู่ครบถ้วนแล้ว อีกทั้งจะทำให้ศักยภาพของจังหวัดบุรีรัมย์ลดน้อยลงไปอีก เพราะขณะนี้เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่อยู่ลำดับต้นๆ ของประเทศนั้นดีอยู่แล้ว” นายวสันต์กล่าว
ขณะที่ นายสุรศักดิ์ ลิ่มวิไลกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการแยกตั้งจังหวัดนางรองออกจากบุรีรัมย์ แม้ว่าจะมีความพร้อมในทุกๆ ด้านก็ตาม เพราะขณะนี้ จ.บุรีรัมย์มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เกิดการจ้างงาน แรงงานมีฝีมือในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ระดับประเทศมองว่า บุรีรัมย์เป็นจังหวัดน่าลงทุน มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับอีสเทิร์นซีบอร์ด ภาคตะวันออกและอินโดจีน
“หากมีการแยกตั้งจังหวัดนางรอง ศักยภาพเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆ เหล่านี้จะลดน้อยลงหรืออาจหมดไปจากบุรีรัมย์ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากกว่า 80% และอยู่ในพื้นที่ 10 อำเภอที่จะแยกตัวออกไปตั้งจังหวัดใหม่ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนมองตรงจุดนี้ด้วย” นายสุรศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่านักธุรกิจในจังหวัดบุรีรัมย์ได้รวมตัวกันเพื่อคัดค้านการจัดตั้งจังหวัดนางรองแยกออกจากจังหวัดบุรีรัมย์อย่างเต็มที่ โดยเตรียมระดมมวลชนออกมาเคลื่อนไหวทันทีหากมีการนำเรื่องขึ้นมาหารือในระดับจังหวัดและระดับรัฐบาล ตามการผลักดันของ นักการเมืองกลุ่ม ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มีเบื้องหลังต้องการแบ่งแยกพื้นที่ฐานอำนาจทางการเมืองของกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ ออกไปจัดตั้งเป็นจังหวัดใหม่ของกลุ่มตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดน้องใหม่อย่าง จ.บึงกาฬ และ จ.หนองบัวลำภู รวมทั้งจะมีจำนวน ส.ส.เขตได้ถึง 4 คน จากปัจจุบัน จ.บุรีรัมย์มี ส.ส.เขต จำนวน 9 คน
วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่จังหวัดบุรีรัมย์มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ บร 0017.1/18165 ลงวันที่ 10 ต.ค. 2555 เรื่อง การพิจารณาจัดตั้งจังหวัดนางรอง ส่งไปถึงนายอำเภอนางรอง, ชำนิ, หนองหงส์, บ้านกรวด, เฉลิมพระเกียรติ, โนนสุวรรณ, ปะคำ, หนองกี่, ละหานทราย และนายอำเภอโนนดินแดง รวม 10 อำเภอ จากทั้งจังหวัด 23 อำเภอ พร้อมแนบหลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัดใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2554 ไปด้วยนั้น
นายวีระเดช ตั้งตรงเวชกิจ ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแยกออกไปตั้งจังหวัดใหม่ เพราะหากมีการจัดตั้งจังหวัดนางรองแยกออกไปจาก จ.บุรีรัมย์ จะทำให้ธุรกิจการค้า การลงทุนลดลงหรือหดหายไปจากบุรีรัมย์ทันที เนื่องจากนางรองเป็นอำเภอหน้าด่านเศรษฐกิจ และเป็นเมืองเส้นทางผ่านเข้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์และเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจภาคเกษตรกรรมของจังหวัดบุรีรัมย์นั้นปัจจุบันอยู่ในโซนอำเภอที่ขอแยกไปตั้งจังหวัดใหม่แทบทั้งสิ้น ทั้งการผลิตอ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าว
“ขณะนี้เศรษฐกิจของจังหวัดบุรีรัมย์กำลังบูม มีการลงทุนเข้ามาในจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการก่อสร้างด้านอสังหาริมทรัพย์ มีร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั้งในและต่างจังหวัดเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น หากมีการตัดอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ออกไป 10 อำเภอ ซึ่งล้วนแต่เป็นอำเภอหน้าด่านด้านเศรษฐกิจก็จะทำให้บุรีรัมย์เหลืออำเภอที่เป็นพื้นที่ด้านเศรษฐกิจเพียง อ.ลำปลายมาศ, สตึก และ อ.ประโคนชัยเท่านั้น หากไม่รวม อ.เมือง ที่เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจการค้าของจังหวัดอยู่แล้ว” นายวีระเดชกล่าว
ด้าน นายวสันต์ เทพนคร ประธานชมรมท่องเที่ยวและผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้มีการแยก 10 อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ออกไปตั้งเป็นจังหวัดนางรอง เพราะจะส่งผลกระทบด้านธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะวนอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ และปราสาทเมืองต่ำ อ.ประโคนชัย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัด ได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดจากการจับจ่ายซื้อสินค้าของฝาก ของที่ระลึก และใช้บริการตามแหล่งบริการ สถานบันเทิง ร้านอาหาร และที่พักโรงแรม รีสอร์ตต่างๆ
“ไม่สมควรตั้งจังหวัดนางรองเพราะจะทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณโดยไร้ประโยชน์ เป็นการเอาเงินภาษีของประชาชนมาทำปู้ยี่ปู้ยำ ไหนจะต้องมีการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ เพิ่มขึ้นในเมื่อก็มีอยู่ครบถ้วนแล้ว อีกทั้งจะทำให้ศักยภาพของจังหวัดบุรีรัมย์ลดน้อยลงไปอีก เพราะขณะนี้เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่อยู่ลำดับต้นๆ ของประเทศนั้นดีอยู่แล้ว” นายวสันต์กล่าว
ขณะที่ นายสุรศักดิ์ ลิ่มวิไลกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการแยกตั้งจังหวัดนางรองออกจากบุรีรัมย์ แม้ว่าจะมีความพร้อมในทุกๆ ด้านก็ตาม เพราะขณะนี้ จ.บุรีรัมย์มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เกิดการจ้างงาน แรงงานมีฝีมือในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ระดับประเทศมองว่า บุรีรัมย์เป็นจังหวัดน่าลงทุน มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับอีสเทิร์นซีบอร์ด ภาคตะวันออกและอินโดจีน
“หากมีการแยกตั้งจังหวัดนางรอง ศักยภาพเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆ เหล่านี้จะลดน้อยลงหรืออาจหมดไปจากบุรีรัมย์ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากกว่า 80% และอยู่ในพื้นที่ 10 อำเภอที่จะแยกตัวออกไปตั้งจังหวัดใหม่ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนมองตรงจุดนี้ด้วย” นายสุรศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่านักธุรกิจในจังหวัดบุรีรัมย์ได้รวมตัวกันเพื่อคัดค้านการจัดตั้งจังหวัดนางรองแยกออกจากจังหวัดบุรีรัมย์อย่างเต็มที่ โดยเตรียมระดมมวลชนออกมาเคลื่อนไหวทันทีหากมีการนำเรื่องขึ้นมาหารือในระดับจังหวัดและระดับรัฐบาล ตามการผลักดันของ นักการเมืองกลุ่ม ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มีเบื้องหลังต้องการแบ่งแยกพื้นที่ฐานอำนาจทางการเมืองของกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ ออกไปจัดตั้งเป็นจังหวัดใหม่ของกลุ่มตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดน้องใหม่อย่าง จ.บึงกาฬ และ จ.หนองบัวลำภู รวมทั้งจะมีจำนวน ส.ส.เขตได้ถึง 4 คน จากปัจจุบัน จ.บุรีรัมย์มี ส.ส.เขต จำนวน 9 คน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)